มณีบุษยา (สราวดี)
ประหยัด: 125.65 บาท ( 35.00% )
เนื้อหาบางส่วน
มณีบุษยา โดย สราวดี
นิยายเรื่องนี้ผู้เขียนอ้างอิงจากข้อมูลในประวัติศาสตร์สมัยกรุงรัตนโกสินทร์สมัยรัชกาลที่ ๕ ช่วงเจรจาทำสัญญากับฝรั่งเศสครั้งสุดท้าย ยุติกรณีพิพาท รศ.๑๑๒ จนถึง รศ.๑๒๒ ชื่อตัวละครและเนื้อหาเขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง ส่วนที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์จะเป็นชื่อบุคคลที่มีอยู่ในเหตุการณ์จริง ผู้เขียนพยายามนำเรื่องละอันพันละน้อย เรื่องเล่าผ่านทางพระราชนิพนธ์ไกลบ้าน เรื่องลือของสาวชาววัง และบทเรียนสอนหญิง ที่ได้รวบรวมและสืบค้นมาทั้งจากปากผู้คนที่เคยอาศัยอยู่ในวัง และจากเอกสารที่ได้มีการบันทึกไว้มาเล่าสู่กันฟัง ผ่านตัวละครที่สมมติขึ้น มิได้เจตนาลบหลู่หรือดูหมิ่นผู้ใด ผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่านิยายเรื่องนี้จะทำให้ผู้อ่านมีความสุขไปกับตัวอักษรที่เรียงร้อยขึ้น
สราวดี
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เธอ...นางข้าหลวง ผู้เกิดในราชสกุลอันสูงส่ง ชีวิตของเธอไม่เคยออกนอกกรอบจนกระทั่งได้สบตากับนายทหารองครักษ์หนุ่ม
เขา...บุรุษผู้เอาชนะใจสาวชาววังคนที่ใครๆ ต่างหมายปองอยากจะให้ไปเป็นแม่ศรีเรือน หัวใจของเขามั่นคงในรัก แม้อุปสรรคก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความรักความผูกพันในใจของเขา
“กระผมปลูกต้นจันทน์กะพ้อไว้รอบบ้านของเรา เพราะทราบว่าเป็นดอกไม้โปรดของคุณนิ่ม นอกนั้นก็จำจากที่เห็นในสวนนี้ไปหามาปลูก ช่วยกันหากับไอ้กอบ มันยังรู้จักต้นไม้ดอกไม้มากกว่ากระผม”
เสียงนุ่มๆ ปนเสียงหัวเราะเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับเรือนหอให้ฟัง
“ปลูกต้นอะไรไปแล้วบ้างคะ” เธอถาม กลั้นยิ้มในสีหน้า
“มะลิกอใหญ่ๆ ดอกแก้ว กุหลาบมอญ แล้วก็จำปี จำปา ผมไม่รู้หรอกว่าต้นไหนจำปีต้นไหนจำปา เห็นต้นมันเหมือนกัน ต้องรอให้ออกดอกก่อนถึงจะรู้แน่”
“อธิบายเสียจนอยากไปเห็นด้วยตา”
“ถ้าทำได้กระผมอยากจะลักพาลงเรือไปเสียเดี๋ยวนี้”
“เดี๋ยวนี้คุณหลวงพูดเก่งนะเจ้าคะ ถ้าท่านพ่อมาได้ยินท่านอาจจะแกล้งให้เลื่อนงานสมรสออกไปอีก”
คุณหลวงแย้มริมฝีปากกว้าง ดวงตาคมใหญ่ฉายแววหวาน จนต้องเอียงหน้าหนี
“ท่านไม่เลื่อนหรอก ท่านสงสาร...อยากให้ถึงวันสมรสเร็วๆ ด้วยซ้ำ” เจ้าตัวยื่นหน้ามาพูดจนชิดแก้มนวล
“คุณหลวง!” เธอร้องเตือน อายผีสางนางไม้
“ไม่เอา...ไม่ให้เรียกคุณหลวง”
“ก็เป็นคุณหลวงแล้ว...ถ้าไม่ให้เรียก...จะให้เรียกว่าอะไรเจ้าคะ”
“เรียกพี่พาส หรือคุณพาสก็ได้...เอ้า...” คนพูดรีบบอกเพิ่ม เมื่อเห็นสีหน้าเก้อเขินของคนฟัง
“ไม่ดีกว่าเจ้าค่ะ เรียกอย่างนั้นเดี๋ยวท่านเจ้าคุณภาสจะคิดว่าอิฉันปีนเกลียวท่าน”
“เฮ้อ...งั้นสุดแต่คุณหญิงจะเรียกเถอะ ยังไงกระผมก็คือกระผม...นายพาทิศที่มีหัวใจรักให้คุณหญิงมณีบุษยาคนเดียว” เสียงคนพูดหนักแน่น
“จากนี้ไป...กระผมจะขอเรียกคุณหญิงว่า ‘คุณนิ่ม’ บ้างจะได้ไหม” คราวนี้ลดเสียงมาออดอ้อน
เวลานั้นใบหน้าเธอร้อนซู่ ตอบคำขอของคู่หมั้นหนุ่มเสียงเบา
“สุดแล้วแต่...คุณพี่...จะพอใจ เจ้าค่ะ”
ดวงหน้าของคนขอ แย้มยิ้มยินดียิ่งกว่าวันเข้ารับพระราชทานสัญญาบัตรบรรดาศักดิ์เสียอีก
“ยืนคิดอะไรอยู่จ้ะ ดึกแล้ว...ทำไมยังไม่เข้านอน” เสียงหม่อมมารดาถามเมื่อเดินเข้ามาถึงตัว
“นอนไม่หลับเจ้าค่ะ” ตอบเสียงเบาพอกัน
“ตื่นเต้นใช่ไหม”
ธิดาสาวไม่ตอบ ได้แต่พยักหน้ารับ
“วันสำคัญในชีวิตลูกผู้หญิง...แม่ก็เคยตื่นเต้นจ้ะ นอนไม่หลับ...จนสายต้องเอ็ดถึงจะข่มตาหลับได้ เวลานั้นแม่คงอาการหนักกว่าหนู เพราะเสด็จปู่กับหม่อมย่าของลูกนิ่มท่านดุ ถึงท่านจะเมตตาแต่รู้ว่าท่านเป็นคนดุ...ยังไงก็กลัวอยู่ดี ลูกนิ่มโชคดีที่ได้พ่อเพิ่มแม่ทัดเป็นพ่อแม่สามี สองคนนี้เขาอัธยาศัยดี มีน้ำใจประเสริฐ ท่าทางเขาจะปลื้มลูกสาวของแม่มาก ดูเอาเถิด...ของมีค่าประดามียกให้ลูกสะใภ้หมด แสดงว่าเขาเต็มใจรับไปเป็นแม่ศรีเรือนอย่างไม่ต้องสงสัย”
“หม่อมแม่เจ้าขา...” โผเข้ากอดร่างท้วมเพราะกำลังตั้งครรภ์
หม่อมมารดายกมือขึ้นสวมกอดธิดาไว้ในอ้อมอก เหมือนเมื่อครั้งยังเป็นเพียงเด็กหญิงเล็กๆ
“แม่กับท่านพ่อดีใจที่ลูกสาวจะได้ออกเรือนไปกับคนดีๆ อย่างพ่อพาทิศ คนแบบนี้แหละที่จะคุ้มครองดูแลลูกสาวของเราได้ ท่านพ่อเปรยกับแม่ว่าอนาคตคงได้เป็นถึงพลเอกพระน้ำพระยา เพราะเป็นคนมีความสามารถ ทางกระทรวงจะส่งให้ไปเป็นเลขาอุปทูต แต่ยังไม่ได้กำหนดว่าเป็นประเทศไหน”
“แค่คิดว่าจะต้องจากบ้านจากวังที่เคยคุ้มหัวมาตั้งแต่เกิดไปอยู่เรือนอื่น ลูกก็ใจหาย นี่ลูกยังต้องไปอยู่ต่างแดนอีกรึ เจ้าคะ”
“แม่ไม่อยากให้หนูคิดว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียใจ ควรคิดว่าเป็นโชคและวาสนาของลูกทั้งสองที่มีโอกาสได้รับใช้สนองพระเดชพระคุณของพระเจ้าอยู่หัวนะจ๊ะ งานที่ลูกทำแม้เป็นงานเล็กๆ จากสองมือสตรี แต่ผลงานนั้นสร้างความประทับใจได้ผลดียิ่งกว่าการเจรจาที่มุ่งแต่เอาชนะคะคานกัน มันต้องมีแข็งและมีอ่อน ประเทศชาติของเราถึงจะเอาตัวรอดจากประเทศมหาอำนาจได้”
“ลูกเข้าใจแล้ว เจ้าค่ะ” นวลแก้มบางใสแนบกับผิวนุ่มหอมกรุ่นจากอ้อมอกมารดา “ลูกรักหม่อมแม่ เจ้าค่ะ”
“เข้านอนกันเถิดเรา พรุ่งนี้ตื่นเช้ามาหน้าตาจะได้แจ่มใส สมเป็นเจ้าสาวที่คนเขาลือว่าสวยที่สุดในพระนครเวลานี้”
รายละเอียด
นิยายเรื่องนี้ผู้เขียนอ้างอิงจากข้อมูลในประวัติศาสตร์สมัยกรุงรัตนโกสินทร์สมัยรัชกาลที่ ๕ ช่วงเจรจาทำสัญญากับฝรั่งเศสครั้งสุดท้าย ยุติกรณีพิพาท รศ.๑๑๒ จนถึง รศ.๑๒๒ ชื่อตัวละครและเนื้อหาเขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง ส่วนที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์จะเป็นชื่อบุคคลที่มีอยู่ในเหตุการณ์จริง ผู้เขียนพยายามนำเรื่องละอันพันละน้อย เรื่องเล่าผ่านทางพระราชนิพนธ์ไกลบ้าน เรื่องลือของสาวชาววัง และบทเรียนสอนหญิง ที่ได้รวบรวมและสืบค้นมาทั้งจากปากผู้คนที่เคยอาศัยอยู่ในวัง และจากเอกสารที่ได้มีการบันทึกไว้มาเล่าสู่กันฟัง ผ่านตัวละครที่สมมติขึ้น มิได้เจตนาลบหลู่หรือดูหมิ่นผู้ใด ผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่านิยายเรื่องนี้จะทำให้ผู้อ่านมีความสุขไปกับตัวอักษรที่เรียงร้อยขึ้น
สราวดี